...ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Web-blog ของคุณครูวรรณธมลค่ะ!!!...


กลวิธีแก้ความเครียด

ความเครียดทางอารมณ์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนไม่มากก็น้อย ความเครียดอาจจะเกิดจากปฏิกิริยาในตัวเราเอง เช่น ปวดท้องอึขณะที่ขับรถติดในชั่วโมงเร่งด่วน หรือความเครียดที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น หุ้นตก สูญเสียเงิน ถูกโกงแชร์ เป็นนายกโดนปฎิวัติ ฯลฯ
ความเครียดขนาดน้อยๆ เป็นเรื่องปกติ ไม่มีปัญหา แต่อาจจะมีประโยชน์ ที่ทำให้เราพยายามเอาชนะมัน ทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย เช่น เครียดเพราะกลัวสอบเอ็นทรานซ์ไม่ได้ จึงทำให้ขยันเรียน แต่ความเครียดถ้ามีขนาดมาก ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ความเครียดอาจจะทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง ทำให้เป็นหวัดง่าย เริมกำเริบ หรือในบางคนอาจจะเกิดโรคจู๋หมดน้ำยา หรือถึงขนาดฆ่าตัวตาย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเครียด แนะนำหลักการลดความเครียดไว้หลายอย่าง ขั้นแรกหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดความเครียด เขาให้คำนิยามของสาเหตุความเครียดไว้ว่า มันคือภาวะที่บีบคั้น ที่เกินความสามารถของเราที่จะตอบสนองได้
ความสามารถในการตอบสนองต่อความเครียด ขึ้นกับพันธุกรรม บุคลิกภาพ ประสบการณ์ของชีวิตของเรา เช่น คนบางคนอาจจะเครียด เมื่อต้องขึ้นไปร้องเพลงบนเวที แต่บางคนชอบมาก เนื่องจากมีพันธุกรรม หรือบุคลิกของความไม่ขี้อายชอบแสดงออก บางคนเข้าใกล้หมาแล้วเครียดมาก เนื่องจากมีประสบการณ์โดนหมากัดตอนที่ยังเด็ก สาเหตุของความเครียดหลายอย่าง มันเห็นได้เข้าใจได้เด่นชัด เช่น พ่อหรือแม่เสียชีวิต ลูกไม่สบาย แฟนเลิกร้าง กิ๊กเลิกรา หางานทำ ไม่ได้ ถูกไล่ออกจากงาน หาเงินไม่พอใช้ เป็นหนี้พนันบอล ฯลฯ แต่ความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันก็ไม่ควรมองข้าม เช่น ต้องขับรถฝ่าจราจรไปส่งหรือรับลูกที่โรงเรียนทุกวัน เพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดี คอมฯ มีปัญหาแฮงค์บ่อยทำให้ต้นฉบับหาย น้ำมันราคาแพง ความเครียด เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ถ้าเป็นอยู่นานๆ ก็สามารถสร้างความเสียหาย ให้กับชีวิตร่างกายหรือสุขภาพของเราได้มาก เพราะมันกระตุ้นร่างกายเรา ให้หลั่งฮอร์โมนความเครียดตลอดเวลา ทำให้เกิดโรคขึ้น เช่น ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ แล้วตามมาด้วยอัมพาตอัมพฤกษ์

กลวิธีคลายเครียดที่ผู้รู้แนะนำไว้ และคุณสามารถเลือกเอาไปใช้ได้มีหลายอย่าง คือ

1. ออกกำลังกาย

2. พูดระบายความเครียด

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

4. ทานอาหารคลายเครียด

5. พักผ่อนท่องเที่ยว

6. ดนตรีคลายเครียด

7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอรายาปี

8. ฝึกหายใจคลายเครียด

9. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

9 วิธีเป็นวิธีคลายเครียดที่ง่ายและปลอดภัยมากที่สุด ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือต้องมีสติ หากรู้ว่าเริ่มเครียดแล้วก็ลองปฏิบัติตาม 9 วิธีนี้นะจ๊ะ

เคล็ดลับหน้าใส


เคล็ดลับ 4 สูตรหน้าใส ง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง

ผู้หญิงเป็นเพศที่ต้องดูดี สวยงาม แต่จะทำอย่างไรให้แค่มองเพียง แว๊บ!! แรกก็สะดุดตาทันที ไม่ต้องกังวลเรามีสูตรบำรุงผิวหน้า ให้สวยใส ซึ่งทำได้ง่ายๆ ส่วนผสมก็หาได้ในครัวของเรานี่เอง

สูตรแรกเป็นสูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า

ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก

สูตรที่ 2 เป็นสูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส

นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่น พอละเอียดได้ที่ก็คั้นมะนาวเอาแต่น้ำสัก 1 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วพอกชโลมให้ทั่ว เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก

สูตรที่ 3 สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน

เตรียมโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ และมะเขือเทศลูกเล็กๆ สัก 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศให้ละเอียด แล้วนำพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

สูตรที่ 4 สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ

ผสมโยเกิร์ต 1 ถ้วย กับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน ชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดๆ ถูๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี


พันธะเคมี

พันธะเคมี
(Chemical Bonding)
กฎออกเตต เป็นการจัดเรียงอิเล็กตรอนของอะตอมให้ได้ครบ 8 ตัว
พันธะเคมี เป็นแรงยึดเหนี่ยวภายในและภายนอกระหว่างอะตอม โมเลกุล หรือไอออน พันธะเคมีเกิดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอน (อิเล็กตรอนในระดับพลังงานนอกสุด) ของอะตอมนั้นมีจำนวนอิเล็กตรอนครบ 8 ตัว ซึ่งเป็นไปตามกฎออกเตต ทำให้ธาตุนั้นเสถียร ด้วยวิธีการต่างๆ คือ
1. ให้อิเล็กตรอนกับอะตอม
2. รับอิเล็กตรอนจากอะตอมอื่น
3. ใช้อิเล็กตรอนร่วมกันกับอะตอมอื่นซึ่งแบ่งออกได้ 6 ชนิด คือ พันธะไอออนิก พันธะโควาเลนต์ พันธะโควาเลนต์ พันธะไฮโดรเจน พันธะโลหะ และแรงแวนเดอร์วาลส์
พันธะไอออนิก (Ionic bond)คือ แรงยึดเหนี่ยวที่เกิดในสาร โดยที่อะตอมของธาตุที่มีค่าพลังงานไอออไนเซชันต่ำ ให้เวเลนต์อิเล็กตรอนแก่อะตอมของธาตุที่มีค่าพลังงานไอออนไนเซชันสูง กลายเป็นไอออนที่มีประจุบวกและประจุลบ เมื่อไอออนทั้งสองเข้ามาอยู่ใกล้กันจะเกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าที่แข็งแรงระหว่างประจุไฟฟ้าตรงข้ามเหล่านั้น ทำให้ไอออนทั้งสองยึดเหนี่ยวกัน
พันธะโคเวเลนต์ (Covalent bond)หมายถึง พันธะที่เกิดจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน ดังเช่น ในกรณีของไฮโดรเจน ดังนั้นลักษณะที่สำคัญของพันธะโคเวเลนต์ก็คือการที่อะตอมใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกันเป็นคู่ ๆสารประกอบที่อะตอมแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ เรียกว่า สารโคเวเลนต์โมเลกุลของสารที่อะตอมแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ เรียกว่า โมเลกุลโคเวเลนต์
พันธะโลหะ (Metallic bond)คือ พันธะที่เกิดเนื่องจากแรงดึงดูดระหว่างไอออนบวกซึ่งเรียงชิดกันกับเวเลนต์อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่อยู่โดยรอบทั้งก้อนโลหะ และการที่เวเลนต์อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ เพราะโลหะเป็นธาตุที่มีเวเลนต์อิเล็กตรอนน้อยและมีค่าพลังงานไอออนไนเซชันต่ำ จึงทำให้เกิดกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนและไอออนบวกได้ง่ายโดยที่คุณสมบัติของโลหะนั้นจะเป็นธาตุที่เป็นของแข็ง (ยกเว้นปรอทที่เป็นของเหลว) นำไฟฟ้าได้ดีมากกว่าอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปมาตลอดเวลา มีผิวมันวาว มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง นำความร้อนได้ดี และสามารถตีแผ่เป็นแผ่นบางๆได้

ตารางธาตุ

ตารางธาตุ

เนื่องจากปัจจุบันนักเคมีพบว่า การจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุมีส่วนสัมพันธ์กับสมบัติต่าง ๆ ของธาตุ กล่าวคือ ถ้าเรียงลำดับธาตุตามเลขอะตอมจากน้อยไปหามาก จะพบว่าธาตุที่มีสมบัติคล้ายคลึงกันเป็นช่วง ๆ ตามลักษณะของการจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมของธาตุนั้น ดังนั้นในปัจจุบันจึงจัดตารางธาตุโดยเรียงตามเลขอะตอมจากน้อยไปมาก ดังรูป

ตารางธาตุในรูป เป็นแบบที่ใช้กันอยู่มากในปัจจุบัน แบ่งธาตุในแนวตั้งออกเป็น 18 แถวหรือ 18 หมู่ โดยธาตุทั้งหมด 18 แถว แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือกลุ่ม A และ B กลุ่ม A มี 8 หมู่ คือหมู่ IA ถึง VIIIA ส่วนกลุ่ม B ซึ่งอยู่ระหว่างหมู่ IIA และ IIIA มี 8 หมู่เช่นเดียวกัน คือ หมู่ IB ถึง VIIIB (แต่มี 10 แนวตั้ง) เรียกธาตุกลุ่ม B ว่า ธาตุทรานซิชัน
ธาตุในแต่ละหมู่ ของกลุ่ม A ถ้ามีสมบัติคล้ายกันจะมีชื่อเรียกเฉพาะหมู่ เช่น
ธาตุหมู่ IA เรียกว่า โลหะอัลคาไล (alkali metal) ได้แก่ Li , Na , K , Rb , Cs , Fr
ธาตุหมู่ IIA เรียกว่า โลหะอัลคาไลน์เอิร์ท (alkaline earth) ได้แก่ Be Mg Ca Sr Ba Ra
ธาตุหมู่ VIIA เรียกว่า ธาตุเฮโลเจน (halogen) ได้แก่ F Cl Br I At
ธาตุหมู่ที่ VIIIA เรียกว่า ก๊าซเฉื่อย (Inert gas) ได้แก่ He Ne Ar Kr Xe Rn

ทดสอบความจำ!!!

เกมส์ตารางธาตุ

http://naja.212cafe.com/archive/2007-08-04/150122/

ตลาดน้ำดำเนินสะดวก

ตลาดน้ำดำเนินสะดวก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของราชบุรี เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกในฐานะแหล่งท่องเที่ยวครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2510 ในภาพของตลาดลอยน้ำที่คราคร่ำไปด้วยเรือพายลำย่อมบรรทุกสินค้าที่ ีจำเป็นต่อการครองชีพ พ่อค้าแม่ค้าสวมเสื้อผ้าโทนสีเข้มแบบชาวสวน ใส่หมวกงอบใบลาน พายเรือเร่ขายแลกเปลี่ยนสินค้า ในยามที่เส้นทางคมนาคมทางน้ำเป็นหัวใจหลัก ปัจจุบันได้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเข้ามาเที่ยวชมวิถีชีวิต และการค้าขายในตลาดน้ำแห่งแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ตลาดน้ำดำเนินสะดวกเป็นตลาด เก่าแก่นับร้อยปี ซึ่งได้ขุดคลองดำเนินสะดวกขึ้นตามพระราชดำริของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงเห็นว่าการคมนาคม ในท้องถิ่นนี้ ไม่มีถนนที่เชื่อมกับอำเภออื่นๆ ส่วนมากใช้เรือเป็นพาหนะ โดยคลองนี้จะเชื่อมแม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง เข้าไว้ด้วยกัน ใช้เวลาขุดประมาณ 2 ปี ที่มาของชื่อคลองได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ในอดีตตลาดน้ำดำเนินสะดวกเป็นศูนย์รวมในการค้าขาย พืชผัก และผลไม้ตามฤดูกาลจากเรือกสวนไร่นาของ่เกษตรกรในย่านนั้น แต่ปัจจุบันตลาดน้ำดำเนินสะดวกเป็นกึ่งตลาดบกตลาดน้ำ คือ มีของขายทั้งบนบกและในเรือมาเที่ยวที่ตลาดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะร้อน เพราะมีทางเดินที่มีหลังคาตลอดสองฝั่งของตลาด จึงทำให้เดินเที่ยวชมตลาดได้อย่างสบาย ๆ คลองนี้เป็นคลองที่คนใน จ. ราชบุรี จ.สมุทรสาคร และ จ.สมุทรสงคราม ไปมาหาสู่กัน มีความหมายตรงกับชื่อ “ดำเนินสะดวก” คือ การเดินทางสะดวก แม้ทุกวันนี้ จุดประสงค์เริ่มแรกจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้า และนักท่องเที่ยว เดินทางไปอย่างล้นหลาม ปัจจุบัน ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จึงเปรียบเสมือน เป็นที่นัดของเรือร้อยๆลำเพื่อชุมนุมขายสินค้าการเกษตรและสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองตลอดจนร้านขายของที่รับจากโรงงานในกรุงเทพหรือจากต่างจังหวัดทั่วประเทศ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศแล้วคลองที่เต็มไปด้วยสินค้าทุกชนิดที่เขาตื่นตาตื่นราคาเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่ี่ีเดียวตลาดน้ำจะเริ่มคึกคัก ตั้งแต่ 6.00 น.ไปจนถึงประมาณ 11.00 น. นอกจากเขาจะได้ชมตลาดน้ำแล้วชีวิตสองฝั่ง คลองของชาวไทยชนบทยังเป็นภาพที่น่ามองอย่างมากสลับกับเรือกสวนและไร่นาของชาวบ้านส่วนใหญ่ของพื้นที่แถบนี้ต่างจากภาพที่เขาคุ้นตา ตามเมืองใหญ่ๆ ไปลิบลับ

ปาย เมืองในฝัน

ปาย

ประวัติอำเภอปายมีทฤษฎีจำนวนมากเกี่ยวกับการตั้งชื่อ "ปาย" บางคนเชื่อว่าคำว่า "ปาย" หมายถึง ช้างหนุ่มตัวผู้ที่ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ ของทางภาคเหนือของไทย บางคนกล่าวว่าคำว่า "ปาย" มาจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของเผ่าลั๊วะ ถูกค้นพบในอำเภอ ลั๊วะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากในอำเภอปายและเป็นที่เลื่องลือ ในนามนักรบที่สร้างความหายนะยามค่ำคืน ซึ่งถูกเรียกว่า ภูตพราย กาลเวลาผ่านไปทำให้ถูกเรียกเพี้ยนเป็นคำว่า ปายคำอธิบายอื่นๆ กล่าวว่า ปาย ถูกตั้งชื่อตามชื่อผู้นำ ของชาวไทยใหญ่กลุ่มแรก ที่เข้ามาตั้งรกรากในอำเภอปาย แต่คำกล่าวที่ดูเหมือนจะใกล้เคียง ความจริงที่สุด กล่าวว่า คำว่า "ปาย" มาจากภาษาไทยใหญ่ ซึ่งแปลว่า "การอพยพ” คำว่า "ปาย" ถ้าหากออกเสียงลงต่ำแล้วจะหมายถึงการหลบหนีอพยพหรือเคลื่อนย้ายออกไป กาลเวลาผ่านไปทำให้เสียงสูงต่ำ และการสะกดคำเปลี่ยนแปลงไป ถ้าหากได้ศึกษาเกี่ยวกับภาษาของไทยใหญ่ และภาษาไทยทางเหนืออย่างใกล้ชิดแล้วการอธิบายนี้ดูจะถูกต้องที่สุดชมรมเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ของอำเภอปายชมรมแรกถูกตั้งขึ้นในปี 1251 โดยชาวไทยใหญ่ที่อพยพจากสงคราม จากหมู่บ้านไทยใหญ่ พวกเขาตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่ นั่นก็คืหมู่บ้านเวียงเหนือ ใกล้ที่ตั้งของหมู่บ้านเก่าขึ้น, อยู่ทางทิศเหนือของตัวอำเภอปายปัจจุบัน ที่ตั้งที่พวกเขาเลือก เป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติ อุดมสมบูรณ์และ เป็นพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการต่อสู้ระหว่างไทยใหญ่และ ไทยทางเหนือเพื่อการครอบครองพื้นที่ ซึ่งขณะนั้นประเทศไทย มีพ่อขุนเมงรายเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีกองทัพที่เข้มแข็งประวัติศาสตร์กล่าวว่า อาณาจักรเชียงแสนถูกสร้างขึ้น 69 ปีก่อนเชียงใหม่ ราว ๆ ปี 1323 ปาย เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเชียงแสนสงครามครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี1869 เมื่อทหารไทยใหญ่ได้เอาชนะชาวบ้านปายและเผาทุกอย่างเป็นจุลอย่างไรก็ตามทหารจากเชียงใหม่ก็ขับไล่พวกเขาออกไปได้ในที่สุด หลังจากนั้น หมู่บ้านก็ถูกย้ายที่ตั้งมาเป็นที่ตั้งในปัจจุบันเมื่อวันที่ 10 เดือนพฤษภาคม ปี 1911 ยุคที่ราชอาณาจักรต่างๆของประเทศไทยถูกรวมเข้าด้วยกัน รัฐบาลได้ประกาศให้แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดหนึ่ง ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อย่างและ ปายก็กลายเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองชาวทหารญี่ปุ่น ใช้อำเภอปายเป็นเส้นทางการขนส่ง จากเชียงใหม่ไปถึงพม่าสิ่งที่เหลืออยู่คือ ถนนที่ยังคงใช้กันอยู่ถึงปัจจุบัน นี้คือครั้งแรกที่ปายได้ต้อนรับคนแปลกหน้าจากแดนไกลการสร้างถนนใหม่ของรัฐบาลไทยในช่วงปลายปี 1980 สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ ที่นำความทันสมัยเข้าสู่อำเภอปาย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ชาวบ้าน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น 5 ปีต่อมา ราว ๆ ปี 1985 ชาวอำเภอปายได้ต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกล นักท่องเที่ยวที่มาจากทุกมุมของโลก กับเป้บนหลังของพวกเขาที่ต่างมาแสวงหา "ปาย"